Last updated: 7 ม.ค. 2563 | 2887 จำนวนผู้เข้าชม |
ในการดำเนินชีวิตของคนทุกคน ควรที่จะมีหลักยึด หรือกรอบแนวคิดอะไรบางอย่างที่จะให้เราใช้เป็นที่ยึดมั่น หรือเป็นกรอบทางเดินให้เรา เพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์ของชีวิตที่ดี หนึ่งในความโชคดีของประเทศไทยที่เรามีปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นปรัชญาที่รัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานพระราชดำริชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอด ซึ่งแนวคิดนี้ และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั้นก็เป็นกรอบแนวคิดที่สามารถนำไปใช้ได้ในทุกๆเรื่อง ทั้งในด้านสังคม การเมือง เศรษฐกิจ ภาคธุรกิจ รวมถึงการวางแผนทางการเงินสำหรับคนทุกคน
การวางแผนทางการเงิน ก็เป็นกระบวนการหนึ่งของทุกๆคน ที่มีจุดประสงค์คือต้องการเตรียมความพร้อมในการใช้เงินในอนาคต ต้องการสร้างความมั่งคั่ง ต้องการมีเงินที่พร้อมเกษียณ และต้องการสร้างความสุขให้คนใกล้ตัว แน่นอนว่าการวางเป้าหมายในชีวิตไว้แต่เนิ่นๆ เป็นสิ่งที่สมควรกระทำ แต่สิ่งที่สำคัญกว่า คือกระบวนการในการวางแผนทางการเงินต่างๆที่จะทำให้บรรลุผลลัพธ์ได้สำเร็จ
กระบวนการที่ดี ย่อมนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีได้ฉันใด การวางแผนทางการเงินที่ดีก็ย่อมนำไปสู่ ความมั่งคั่งในอนาคตได้ฉันนั้น และกรอบแนวคิดของการวางแผนทางการเงินก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เรามาดูว่าเราจะใช้ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวทางได้อย่างไร
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สามารถสรุปออกมาอย่างสั้นๆ 3 หลักการคือ (1) การมีเหตุผล (2) การมีความพอประมาณ (3) การมีภูมิคุ้มกัน ซึ่งทั้ง 3 หลักการนี้ จะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานคือ (1) ต้องมีความรู้ และ (2) ต้องมีคุณธรรม
สำหรับหลักการข้อแรก การมีเหตุผล ความหมายก็คือ การที่ไม่เชื่อใคร หรือเชื่ออะไรง่ายๆ จะต้องดูเหตุผล ที่มีที่ไป และหาข้อมูลจากหลายๆทางก่อนที่จะเชื่ออะไรลงไป ซึ่งแน่นอนว่า จะต้องมีความรู้เป็นพื้นฐาน เพื่อไม่ให้หลงเชื่อผู้ที่ไม่หวังดี และทำให้สภาวะทางการเงินของเราเสียหายไป จากข่าวที่มีการหลอกลวงการขายทริปท่องเที่ยวไปญี่ปุ่นในราคาถูกเกินจริง หากเรามีหลักการข้อนี้ก็จะพิจารณาเหตุผล ที่มาที่ไปก่อนที่จะหลงเชื่อ หรือการไปลงทุนในสิ่งที่ให้ผลตอบแทนเกินจริง โดยที่เราไม่รู้ข้อมูลอย่างแท้จริง หรือที่มาที่ไปของผลตอบแทนที่โฆษณา เราก็ไม่ควรหลงเชื่อและนำเงินของเราไปทิ้งในสิ่งนั้นๆ
หลักการข้อถัดมา หลักการของการมีความพอประมาณ ความหมายของคำว่าพอประมาณของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าความพอประมาณอยู่ในระดับใด แต่ทั้งนี้ให้ดูที่ความรู้ความสามารถของแต่ละคน แต่สิ่งที่ทุกคนควรที่จะพิจารณากระทำในหลักการของความพอประมาณคือ ความไม่ฟุ้งเฟ้อ ความประหยัด หรือการที่ไม่ทำอะไรที่มันสุดโต่งเกินไป เช่นกู้เงินมาจำนวนมากเพื่อต้องการให้ประสบความสำเร็จเร็วๆ เป็นต้น ทั้งนี้การประเมินความพอประมาณจึงต้องประเมินควบคู่กับความสามารถของเราว่ามันสมเหตุสมผลหรือไม่
หลักการข้อสุดท้าย คือหลักการการมีภูมิคุ้มกัน ความหมายคือ การไม่ประมาท คิดถึงความเสี่ยง หรือ ความผิดพลาดของเราที่จะมีโอกาสเกิดขึ้น ข้อนี้จัดได้ว่าเป็นข้อที่สำคัญที่หลายๆคนมองข้ามไป เพราะเรามักจะคิดแต่ว่าจะวางแผนทางการเงินอย่างไร ให้ประสบความสำเร็จโดยเร็วที่สุด โดยมองข้ามความเสี่ยงต่างๆ ที่มีโอกาสจะเกิด และถ้าเกิดขึ้นจะทำให้แผนการเงินของเราเสียหายในระยะยาว ตัวอย่างความเสี่ยงที่เห็นได้ชัดเช่น เราอาจจะมีโอกาสที่สุขภาพจะไม่ดีจนต้องเข้าโรงพยาบาล เราอาจจะมีโอกาสประสบอุบัติเหตุทำให้ต้องสูญเสียเงินทองมารักษา หรือถ้าเราโชคร้ายเสียชีวิต ก็น่าจะเกิดผลกระทบกับคนใกล้ตัว เป็นต้น การคำนึงถึงความเสี่ยงและหาวิธีทำให้เรามีภูมิคุ้มกัน ก็เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาเช่นกัน
ทั้ง 3 หลักการตั้งอยู่บนเงื่อนไขที่สำคัญคือ ต้องมีความรู้ และต้องมีคุณธรรม การมีความรู้เป็นพื้นฐานที่สำคัญอยู่แล้ว ซึ่งการวางแผนการเงินก็จำเป็นที่จะต้องมีความรู้จึงจะสามารถวางแผนให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การมีคุณธรรม นั่นรวมถึงความซื่อสัตย์ ไม่โกง ไม่สร้างความเดือนร้อนให้ผู้อื่นๆ ผู้เขียนเชื่อว่าผู้ใดที่คิดดี ทำดี พูดดี ก็จะนำไปสู่ผลลัพธ์ทีดีครับ
9 ธ.ค. 2562